กฏทอง 5 ข้อ ที่เศรษฐีทุกคนนิยมใช้กัน

คุณเคยคิดหรือไม่ว่า ? เราสามารถหาเงิน 10 ล้านบาทได้ภายในกี่ปีกัน 5 ปีหรือ 20 ปี แน่นอนว่าคุณอาจไม่อยากนึกเลยว่าอาจใช้เวลานานหลายปีกว่าจะได้เงิน 10 ล้านบาท คุณอาจต้องทำงานหนัก ๆ เพื่อให้ได้เงินตามเป้าที่ตั้งไว้ จนคุณอาจลืมไปว่าตัวเองเริ่มแก่ขึ้น และอาจจะเสียเงิน ๆ ทอง ๆ ไปกับการดูแลรักษาตัวเอง เพราะต้องหักโหมงานเป็นเวลานานครับ 

สหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ประชากรนั้นรวยเป็นกระจาย คนอเมริกันเชื่อว่าสภาพสิ่งแวดล้อมมีส่วนสำคัญในการงานหน้าที่ เหมือนคุณอาจเคยได้ยินคำว่า “อยากเจอคนแบบไหน ให้เอาตัวเองอยู่ในที่ที่มีคนแบบนั้น ” 44 % ของอภิมาเศรษฐีในอเมริกา ส่วนมากมักจะอยู่ในรัฐแคลิฟอเนีย แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่อยู่ ๆ จะมีคนรวยมาในแคลิฟอเนียเยอะขนาดนี้ เพราะว่าราคาบ้านหนึ่งหลังในรัฐแคลิฟอเนียนั้นราคาเกือบ 700,000 ดอลลาร์หรือถ้าตีเป็นเงินบาท จะอยู่ที่ราว ๆ 22 ล้านบาทครับ 

สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เรานั้นไม่มีความมั่นคงในการเงิน ส่วนมากมักเกิดจาก

  1. ระบบการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรือการจัดสรรเวลางานไม่เป็นสัดเป็นส่วนครับ ทำงานหนักขนาดไหน แต่หากวางแผนระบบการทำงานให้กับตัวเองได้ไม่ดี ก็อาจทำให้คุณไม่พบหนทางรวยได้ครับ การมี mindset เกี่ยวกับการทำงานถือว่าเป็นอีกวิธีการแก้ไขเบื้องต้น ความคิดที่ว่า “ต้องทำงานหนักถึงจะรวย” ผมคิดว่าเป็นความคิดที่ค่อนข้างล้าสมัยมาก ๆ เพราะเราต้องหมกหมุ่นแต่กับการหาเงินเพื่อจ่ายบิลต่าง ๆ ที่มีอยู่ทุกเดือน จนลืมไปว่า เรายังมีกิจกรรมอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันเช่น ตกปลา ออกกำลังกาย เรียนทำอาหาร ซึ่งการทำงานตลอดเวลาเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ร่างกายอ่อนแออีกด้วยครับ 
  2. การลงทุนย่อมมาพร้อมความเสี่ยง คนส่วนใหญ่จะรู้จักและมีความคุ้นเคยกับคำว่า 

“ผลตอบแทน” มากกว่า คำว่า ‘ความเสี่ยง’ เพราะที่ทุกคนตัดสินใจเข้าสู่โลกของการลงทุน ก็เพราะคาดหวังที่จะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นนั่นเอง แต่อย่าลืมว่า ความเสี่ยงก็คือเหรียญอีกด้านของผลตอบแทน ซึ่งแน่นอนว่าก่อนที่คุณจะลงทุนอะไร ต้องมีการศึกษาและมีข้อมูลในการเปรียบเทียบ เพิ่มกำไรบวกกับโชคด้วยนิดหน่อยครับ เช่น 

Jeff Bezos เป็นนักธุรกิจ เจ้าของสื่อ และนักลงทุน ชาวอเมริกัน เป็นที่รู้จักจากการเป็นผู้ก่อตั้ง ซีอีโอ และประธานของบริษัทค้าปลีกออนไลน์ แอมะซอน นิตยสาร ฟอบส์ จัดเขาว่าเป็นเศรษฐีแสนล้านคนแรก เบโซสเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เขามีการศึกษา และยังมองถึงตลาดในอนาคตได้อย่างแม่นยำ จึงทำให้ธุรกิจของเขานั้นมีการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นการเก็บสถิติ ดูพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งล้วนแล้วเป็นข้อมูลตัวเลขที่จะไปสู่จุดทำกำไรหรือลดการขาดทุน แต่หากคุณไม่มีความรู้ในสิ่งที่จะลงทุนเลยแม้แต่นิดเดียว คุณอาจต้องภาวนาและใช้โชคช่วยอย่างหนักเลยละครับ ดังนั้นผมแนะนำให้ศึกษาก่อนลงทุนเพื่อลดโอกาสขาดทุนครับ

  1. อย่ายอมแพ้ต่อความล้มเหลว ความพยายามเป็นอีกหนึ่งในหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จ เพราะหากคุณพ่ายแพ้ในหนึ่งครั้ง อาจทำให้คุณรู้สึกล้มเหลวในตัวเอง แต่ยังมีนักเขียนหรือ CEO บริษัทชื่อดังมากมายที่ล้มเหลวแต่พวกเขาก็ไม่เคยยอมแพ้ เช่น Disney พยายามนำเสนอตัวการ์ตูนมิกกี้เมาส์ แต่ก็ถูกปฎิเสธกว่าหลายร้อยครั้ง จนปัจจุบันนี้มิกกี้เมาส์ถือว่าเป็นกิมมิคของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Disney world ครับ หรือแม้กระทั่ง J.K. Rowling เจ้าของวรรณกรรมที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่าง Harry Potter และเธอกลายเป็นนักเขียนที่มีรายได้หลักพันล้าน ในช่วงชีวิตที่ตกต่ำเธอ ถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์ถึง 12 ครั้ง แต่ตอนนี้เธอเป็นทั้งนักเขียนและนักสร้างแรงบันดาลใจที่ประสบความสำเร็จที่สุดของโลกคนนึง
  2. การทำงานอย่างมีความสุขนั้น เป็นสิ่งที่บุคลากรทุกคนในองค์กรนั้นปรารถนาหากได้ทำงานในที่ทำงานที่รู้สึกว่ามีความสุขจะรู้สึกผูกพัน สนุกสนาน ความรู้สึกเบื่อที่มาทำงานจะหมดไปกลายเป็นการร่วมสนุกกับกิจกรรมต่างๆ ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จ
  3. ทำงานหนักคนเดียว หากลักษณะงานของคุณทำงานเป็นทีมหรือไม่ก็ตาม คุณพยายามทำงานหนักคนเดียว จนอาจลืมเวลาชีวิตของตัวเอง ซึ่งค่อนข้างเป็นผลเสียกับตัวเอง

เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะกระทบต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง อย่างไรก็ตามควรจัดสรรงานและมี work life balance ให้พอดีกับตัวเอง

และนี้คือกฎทอง 5 ข้อที่คนประสบความสำเร็จนิยมทำกันครับ คือการจัดสรรคเวลางานไม่ทำงานหนักจนเกินไป มี work life balance ให้กับตัวเอง มีลู่ทางการตัดสินใจที่เฉียบแหลม 

  ไม่ยอมแพ้ต่อความล้มเหลว และมีความสุขกับการทำงานครับ