5 วิธีคิด เปลี่ยนมนุษย์เงินเดือน สู่นายตัวเอง รายได้ 6-7 หลัก

ผมเองเริ่มต้นทำงานจากการเป็นคอลเซ็นเตอร์ รายได้ 8,500 อาชีพสุดท้ายคือ พนักงานการบินไทย เงินเดือนหมื่นสอง ออกตอนที่เขาปิดสนามบินกัน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ยังไม่เคยคิดกลับไปทำงานประจำอีกเลยครับ ผมมีเคล็ดลับอะไรที่เปลี่ยนชีวิตจาก มนุษย์เงินเดือน กลายเป็นนายตัวเอง รายได้ 6-7 หลัก/เดือน บทความนี้จะมาแชร์กันครับ

ย้อนเวลากลับไป 20 กว่าปีที่แล้ว กลับไปถามตัวเองตอนนั้นก็ยังไม่แน่ใจ ว่าอนาคตมันจะเป็นอย่างไรเพราะวันๆก็คิดแต่จะทำอย่างไรให้รอด อะไรที่ทำให้เปลี่ยนจากจุดนั้น มาเป็นจุดนี้ได้ เคล็ดลับ คือ เปลี่ยนวิธีคิดครับ วิธีคิดเปลี่ยน จึงเปลี่ยนวิธีทำ ทำซ้ำๆ จนกลายเป็นนิสัย ไม่ใช่ดวง ไม่ใช่โชคช่วย ความพยายามล้วนๆครับ

หาเงินเดือนละแสน

เปลี่ยนวิธีคิดและนิสัย ที่ผลักดันสู่รายได้หลักแสน

#1 ไม่มั่นใจในตัวเอง

ไม่มั่นใจในตัวเอง
ไม่มั่นใจในตัวเอง ต้องแก้ไขด้วยการลงมือทำเยอะๆ

เมื่อก่อนนิสัยขี้ลังเล โลเล ไม่กล้าตัดสิน ไม่มั่นใจในตัวเอง นิสัยนี้เป็นรากเหง้ากมลสันดานของผมเองครับ ที่ทำอะไรก็ไม่กล้า คิดแล้วคิดอีก กลัวโน่น กลัวนี่ กลัวคนนั้นจะว่างี้ เกรงใจคนอื่นไม่เข้าเรื่อง สรุปไม่ได้ทำอะไร

ความไม่มั่นใจ เกิดจากความกังวล ความกลัวสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต

วิธีแก้ วิธีเปลี่ยนนิสัย คือ กลัวอะไร เรียนรู้สิ่งนั้น ลงมือทำให้มาก พัฒนา เรียนรู้ และ ลงมือทำ ต้องมาคู่กัน เรียนเฉยๆมันจะอยู่แต่ในหัว แต่ลงมือทำ มันจะมีความชำนาญ จะทำอะไรก็ตาม ยิ่งชั่วโมงการบินมาก มันจะเป็นธรรมชาติความมั่นใจมันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆครับ

มีแผนสำรอง ทำอะไรถ้าไม่เป็นไปตามดังที่ใจต้องการ ต้องคิดแผนสำรอง คิดทางถอยไว้ตลอด ทีนี้มันจะเหมือนอุ่นใจ อย่างน้อยถึงพลาดเราก็เสียหายไม่มาก ต้องเข้าใจก่อนว่า ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางสู่ความสำเร็จ เราจะต้องเจอมันแน่นอน แต่เราจะรับมือกับมันอย่างไร เราจะเตรียมจิต เตรียมใจอย่างไรเมื่อความผิดหวังมันเข้ามา ตรงนี้สำคัญมากครับ

หลายคนถอดใจ เมื่อเจอกับความผิดหวังซ้ำซาก แต่ถ้าเราเตรียมตัว เตรียมใจมาดีแล้ว เราก็จะเข้าใจ อาจจะผิดหวังนิดหน่อย แต่เราจะลุกขึ้นมาสู้ต่อได้เร็วกว่าตอนที่ยังไม่ได้เตรียมใจครับ

ทำอะไรใหม่ๆที่ไม่คุ้นเคย วิธีคิดให้มั่นใจคือ ก่อนหน้านี้ไม่มีอะไร พลาดไปก็กลับไปที่เดิม แต่ที่ได้มาคือประสบการณ์ ความกล้าทั้งๆที่กลัว ถ้าเราทำบ่อยๆมันจะกลายเป็นความมั่นใจว่าเราสามารถจะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ครับ ดังนั้นลุยแบบมีกลยุทธ์จะทำให้เราประสบความสำเร็จเร็วขึ้นครับ

ความจน เป็นข้อดีอย่างหนึ่ง คือ มันทำให้เราสู้ มันทำให้เราขยัน อยากจะหลุดพ้นออกจากจุดนี้ ถ้าเราทนกับสภาพปัจจุบันไม่ไหวจริงๆ และเราไม่มัวแต่มาโทษคนอื่น มันจะหาทางจนได้ครับ บางทีเราต้องเห็นโทษในปัจจุบันก่อนครับ ถึงจะทำให้เราพยายามถีบตัวออกมาจากจุดนั้น ถ้าเรายังติดอยู่ในความเคยชินเดิมๆ เราก็จะไม่มีทางมุ่งไปข้างหน้า

#2 มักง่าย

ทำอะไรอย่ามักง่าย เพราะมันคือนิสัยของคนไม่ประสบความสำเร็จ
ทำอะไรอย่ามักง่าย เพราะมันคือนิสัยของคนไม่ประสบความสำเร็จ

สิ่งเล็กๆน้อยที่เราคิดว่าไม่น่าจะมีผลอะไร เช่น เวลากินข้าวเสร็จแช่จานไว้, ตื่นเช้ามาไม่จัดเก็บที่นอนให้เรียบร้อย, บ้านรกไม่มีระเบียบ นิสัยแบบนี้มีใครเป็นบ้างครับ ผมจะบอกว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยที่จะกำหนดอนาคตเราเลยนะครับ เพราะความเคยชินจะกลายเป็นนิสัย และ นิสัยจะเป็นตัวกำหนดอนาคตเราครับ

ตอนเรียนมีการบ้าน จะทำตอนใกล้เข้าเรียน ตอนสอบอ่านวันสุดท้ายก่อนสอบ ส่งผลถึงตอนโต ตั้งใจจะทำอะไร เดี๋ยวก่อนทุกอย่าง เพื่อนชวนลงทุนในหุ้น แต่ไม่ทำ เอาไว้ก่อน ไม่สนใจ พวกนี้คือ เชื้อของนิสัยที่ทำให้เรามักง่าย และ ไม่มีความรับผิดชอบ นิสัยนี้คือ มันเป็นตัวฉุดความสำเร็จของเรา จากเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้ บ่มเป็นนิสัยไม่ดีตอนโต

วิธีแก้นิสัยนี้คือต้องให้เห็นโทษของการผัดวันประกันพรุ่งก่อน ที่เห็นได้ชัดๆคือ จิตใจมันมัวๆ ไม่ผ่องใส เหมือนมีอะไรค้างคาใจ ก็เริ่มจากกินข้าวเสร็จไม่แช่จานทิ้งไว้ ตื่นมาเก็บหมอน เก็บเตียงให้เรียบร้อย คิดจะทำอะไรก็ลงมือทำทันที มันเหมือนการเก็บกวาดในจิตใจ พอเราไม่มีอะไรค้างคาในใจ เรามีไม่กังวล มีแรงใจในการคิดที่ก้าวไปข้างหน้า

อย่าประวิงเวลา ทำอะไรอย่าเนิ่นช้า ทำให้มันสำเร็จ บ่อยครั้งที่เราจะเคยมีความคิดประมาณว่า รู้อย่างนี้ หรือ รู้งี้ นั่นก็เพราะเรา ไม่ตัดสินใจอะไรให้มันแน่วแน่ มัวแต่ประวิงเวลา นิสัยโลเล แบบนี้ผมเคยเป็นมาก่อน ตอนนี้คิดอะไรได้ ทำทันทีเลย

#3 ชอบหาข้ออ้าง

ชอบหาข้ออ้างกับทุกเรื่อง แทนที่จะคิดหาทางออก
ชอบหาข้ออ้างกับทุกเรื่อง แทนที่จะคิดหาทางออก

เมื่อก่อนผมจะชอบหาเหตุผลที่จะไม่ทำอะไร คำพูดที่ติดปากคือ ไม่เก่ง หัวไม่ดี ทำไม่ได้ ไม่อยากทำ ทำบ่อยจนปฏิเสธโอกาสไปหลายอย่าง เพราะชอบคิดว่า เราทำไม่ได้ จะคล้ายๆกับ Fixed Mindset กับ Growth Mindset ไม่ยอมออกจาก Comfort Zone เคยทำอะไรมาก็ทำอยู่แบบเดิม ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง ตรงนี้ได้คนรอบข้างดี ช่วยกระทุ้ง ช่วยดัน ช่วยให้กำลัง

การเป็นคนที่เปิดกว้างกับทุกเรื่อง ไม่รีบปฏิเสธ ไม่รีบตอบรับ แต่คิดใคร่ครวญ และเปิดใจทดลองทำก็เป็นการพาโอกาสมาหาตัวเราเอง โอกาสบางทีมันก็เป็นเหมือนรางวัลที่มีคนเอามาให้เรา แต่คนส่วนใหญ่ไม่รับมันไว้ ชีวิตก็เลยอยู่ที่เดิม ทำอะไรเดิมๆ เพราะความเคยชินในสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ไม่กล้าออกไป

ผมเคยทำงานประจำมาหลายที่ ทุกๆที่จะมีคนประเภทหนึ่งที่ชอบด่าองกรค์ ด่าเพื่อนร่วมงาน บ่นตลอดว่าอยากลาออก อยากไปที่อื่น ผ่านไปสิบกว่าปีจนผมลาออกมา จนป่านนี้คนที่บ่นนั้น เขาก็ยังอยู่ที่บริษัทเดิม นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมากครับ

ผมเองตอนทำ Youtube แรกๆ ไม่กล้าออกหน้ากล้องเลยครับ กลัวไม่หล่อ กลัวคนนินทา กลัวไปหมด พอได้ลองทำดู มันก็ไม่แย่นี่หว่า ทำไปทำมา มันติดใจ มันปลดล็อคทุกอย่าง เพราะถ้าเราได้ทำอะไรสำเร็จสักอย่างแล้ว ต่อไปมันจะไม่มีความกลัว เพราะมันปลดล็อคมาแล้ว

#4 เสพสื่อแย่ๆ ยุ่งเรื่องของคนอื่นมากเกินไป ประสาทแดก

นิสัยเดิมคืออ่านข่าวที่เศร้าๆแล้วใจก็เศร้าตามไปด้วย ชอบส่องเพื่อน คนโน้นคนนี้ คนนั้น พอส่องไปก็วิจารณ์ ตัดสิน ทำไมคนนั้นไม่ทำอย่างนี้ ทำไมคนนี้ไม่ทำอย่างนั้น Social network คือ ดาบสองคม ถ้าเราเอาไว้รับความรู้มันจะดีมาก แต่ถ้าเอาไว้รับเรื่องราวที่เศร้าๆ ดราม่า หรือ การไปรู้เรื่องราวของคนรู้จักที่ไม่ได้ทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น ก็ไม่รับดีกว่า

คนเราจิตใจมันพยายามโหยหาอะไรมาเพื่อแก้เบื่อ พวก Facebook, Tiktok เลยทำหน้าที่ของมันโดยการทำให้เราติด ลองมองไปในสังคมเราทุกวันนี้ ทุกๆคนถ้าว่างเมื่อไหร่จะหยิบมือถือขึ้นมาไถฟีด บางทีมันทำให้เราจิตใจฟุ้งซ่าน และถ้าสื่อที่เราเสพนั้นเป็นประเภทดรามานะครับ จิตใจเราจะเกิดความเผ็ดร้อน เร่าร้อนในจิตใจ ความกลัว ความโกรธพวกนี้คือ สนิมในจิตใจ พอสะสมนานๆไป เราจะกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ขาดสติไปโดยไม่รู้ตัวครับ

ผมตอนนี้ Facebook ผมเอาไว้แต่อัพเดทความรู้มากกว่า ส่วนเรื่องดราม่าก็เพลาๆลงละครับ เพราะเห็นโทษของเครื่องมือพวกนี้ จริงๆถ้าเราใช้มันให้เป้นประโยชน์ในการหาเงิน สร้างรายได้ พัฒนา กล่อมเกลาจิตใจ แบบนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก Social ก็เปรียบเสมือนดาบสองคมครับที่ถ้าเราใช้ถูกวิธีก็มีประโยชน์ แต่ถ้าใช้ผิดวิธีก็มีแต่โทษ

#5 เชื่อดวง

เชื่อดวงมาก งานการไม่ทำ อันนี้ก็ไม่แนะนำครับ
เชื่อดวงมาก งานการไม่ทำ อันนี้ก็ไม่แนะนำครับ

ผมชอบดูดวงมาตั้งแต่เด็ก ดูโหงวเฮ้ง ตำราไทย จีน ฝรั่งดูหมด อยากรู้ว่าอนาคตตัวเอง จะมีชีวิตอย่างไร โตขึ้นมาก็เลยติดนิสัยชอบอ่านสปอยล์ ดูหนัง เล่นเกมส์ ต้องดูรีวิว อ่านสปอยล์ก่อน จะได้รู้ว่าจะจบยังไง จะไปทางไหน ที่ดูดวงก็เพราะเหตุผลเดียวกัน กลัวความไม่แน่นอนว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น อ่านๆไปก็หวังลมๆแล้งๆ ว่าเขาจะทำนายให้ชีวิตเราดีขึ้น รายการโปรดคือ ศึก 12 ราศี หมอลักษณ์ฟันธง is the BEST รอลุ้นทุกสัปดาห์ว่า ราศีไหนจะมีเกณฑ์…

ต่อมาเริ่มไปกันใหญ่ พวกดูดวงมั่วๆมันเยอะ เราต้องไปหาคนที่มีของจริงๆ พอดีมีอยู่ช่วงหนึ่งสนใจจะฝึกกสิณ เพื่ออยากจะรู้อนาคตตัวเอง ด้วยการฝึกฌานเพื่อจะได้ ทิพยจักจุญาน คือไปกันใหญ่มาก ได้ไปรู้จักกับหมอดูตาทิพย์ คือ ท่านรับเปิดตาที่สาม แถวๆหลัง อ.ต.ก ไปให้ท่านดู (ตอนนี้ท่านเสียไปละ) เจอมาจากห้องอภิญญาในเว็บพลังจิต ไปให้ท่านดู ท่านบอกว่า เปิดให้ผมไม่ได้ จิตฟุ้งซ่าน สมาธิไม่คงตัว ก็เลยว่าจะไปฝึกมาใหม่ (จนถึงทุกวันนี้จิตยังไม่เคยรวมสักครั้ง) ต่อมาก็ให้ท่านดูว่าเราจะตายวันไหน ท่านก็ให้ทำอะไรสักอย่าง สรุปคือ อยู่ได้ถึงอายุ 62

จากวันนั้นถึงวันนี้ (ตอนนี้อายุ 40) คือ เลิกสนใจเรื่องดวงไปเลย เหมือนรู้สปอยล์แล้ว ไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ดันมาสนใจเรื่องที่ว่า ถ้าหมดอายุขัยแล้วจะไปไหนต่อ โชคดีตอนที่จะฝึกกสิณก็ไปอ่านวิธีฝึกจากหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ต่อมาศึกษาเพิ่มเลยรู้ว่ามีวิธีที่ง่ายกว่านั้นคือ การฝึกมโนมยิทธิ หรือ ฤทธิ์ทางใจ ก็ฝึกมาเรื่อยๆจนป่านนนี้ก็ยังไม่ได้อะไร แต่สิ่งที่ได้คือ ไปศึกษาพุทธศาสนาผ่านเสียงธรรมมะของหลวงพ่อฤาษี ฟังกลับไป กลับมา ฟังจนเห็นภาพรวมของทั้งจักรวาล

เขียนมาซะยาว เพื่อจะปูมาว่า สิ่งที่ผมได้จากที่ศึกษามาและนำมาใช้ คือ โชคชะตาเรา หรือ ดวง ของเราทุกคน ถูกกำหนดมาแล้ว สาเหตุคือ กรรมในอดีต ที่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน และต่อไปในอนาคต

การที่จะฝืนกรรม หรือ ฝืนดวง มีวิธีเดียวคือ ละขันธ์ 5 ที่เป็นเหตุของกรรม จะเหลืออยู่แค่จิตดวงเดียว จุดที่จะไม่ต้องมาชดใช้กรรมอีกนั้นคือ พาจิตไปนิพพาน

งานสำคัญที่เราทุกคนเกิดมาคือ ทำยังไงก็ได้ไม่ให้ต้องเกิดอีก วิธีทำมีหลายวิธี 84,000 วิธี เลือกเอาสักอัน เป้าหมายมีที่เดียว พอผมรู้แบบนี้แล้ว ผมเลิกดูดวงเลย คลายปัญหาที่คาใจมาตั้งแต่จำความได้ว่าเกิดมาทำไม งานผมมีแต่ 2 งาน คือ งานภายนอก กับงานภายใน งานภายนอกก็เต็มที่ งานภายในก็ทำไม่หยุด วันนี้ยังไม่ได้เรื่องไม่เป็นไร ขยัน พัฒนา ศึกษาเพิ่มเติม ลงมือปฏิบัติ เลิกโทษสิ่งรอบตัว เลิกตัดสินคนอื่น แค่รู้ว่าเราทำอะไรไปเพื่ออะไร อย่างอื่นล้วนไม่มีความหมาย

ดวงถูกกำหนดมาแล้วคือ กรรมเก่า นั่นก็ใช่ผมเชื่อ แต่กรรมใหม่ คือ สิ่งที่จะเกิดในอนาคต ปัจจุบันนี่แหละคือตัวกำหนดว่า อนาคตจะดีไม่ดี ถ้าเราเชื่อแต่ดวง ไม่ทำเหตุปัจจุบันให้ดีขึ้น เจออะไรก็ยอมแพ้แล้วบอกดวงไม่ดี ใจไม่สู้ ผมเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่อง ถ้าเรายอมแพ้ เราก็จะแพ้ไปตลอด เกิดมาทั้งที ลองสู้เต็มที่สักที ฝืนดวงชะตา ทำเหตุให้พร้อม ผลลัพธ์ที่ดีจะมาเอง

ผมทำมาแล้วครับ ก็เลยบอกได้ ตอนแรกผมนี่โคตรจนเลย ตะเกียกตะกายพอสมควรกว่าจะมาอยู่ในจุดที่สบายๆได้ ก็เจออุปสรรคมาเยอะครับ เลยรู้ว่า มันไม่ง่าย เป็นเรื่องของใจล้วนๆ อย่าไปสนใจเรื่องดวงที่ใครก็ไม่รู้มาบอกเราว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรดีกว่าครับ เราจะตัดสินอนาคตของเราด้วยตัวเราเอง โทษตัวเองให้มากๆดีกว่า เรามันอ่อนเองอย่าไปโทษใครเลย ถ้าเราใจสู้ ไม่ยอมแพ้ ทำปัจจุบันให้ดี เราก็ฝืนดวงได้ครับ

สรุป

ทั้ง 5 ข้อนี้ คือ นิสัยแย่ๆที่ผมเคยเป็นในอดีต ปัจจุบัน บรรเทาลงมามาก แต่แค่เปลี่ยนวิธีคิดแค่นี้ ก็ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปอย่างมาก ตอนแรกเกิดมาจน หาทางจนหลุดพ้นจากความจนสู่คนที่มีเงินพอใช้ ไม่ขัดสน มีชีวิตที่พอใจ ไม่ได้ร่ำรวยมหาศาลแต่มีความสุขอยู่ทุกวัน แบบนี้คือภาพในใจในอดีต ที่ผมทำตามจนมันเกิดเป็นภาพจริงขึ้นมา

ฟังเวอร์ชั่นวิดีโอด้านล่างครับ