โรคติดมือถือ ส่งผลร้ายกว่าที่คุณคิด! จะเลิกยังไงดี?

เราอยู่ในยุคที่ถือว่ามีความเจริญด้านเทคโนโลยีมาก ๆ รวมไปถึงสมาร์ทโฟน กว่า 6 ร้อยล้านคนบนโลกล้วนมีมือถือเป็นของตัวเอง ที่มีฟังชั่นต่าง ๆ มากมายเพิ่มความสะดวกสบายให้กับเรา มือถือมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนมาหลากหลายรูปแบบ รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้มือถือของมนุษย์ก็เช่นกัน แล้วคุณเคยสงสัยมั้ยว่า ? ตั้งแต่มือถือหรือสมาร์ทโฟนนั้น มีผลกระทบยังไงกับเรา ?

แน่นอนว่าการก้มเล่นมือถือ มีผลกระทบโดยตรงกับกระดูกสันหลังและคอ เพราะว่าคุณต้องก้มหน้าตลอดเวลา หรือแม้กระทั้งก้มหน้าดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็เช่นกันครับ หากใช้เวลาไปกับการก้มดูหน้าจอมือถือหรือคอมนานกว่า 4 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน แน่นอนว่าอาจรู้สึกเหมือนมีใครสักคนขี่คอคุณอยู่ หรือปวดเมื่อยบริเวณคอจนถึงสันหลังเลยละครับ รวมไปถึงหากคุณกำลังติดเกมเช่น Candu Crush ,Rov หรืออื่น ๆ ซึ่งเกมมีข้อดีมากมาย ๆ ให้ความเพลิดเพลินและเบาสมอง แต่รู้หรือมั้ยว่าทุกครั้งที่คุณมีความสุขกับการเล่นเกม สมองจะหลั่งสารโดพามีนหรือสารความสุข เมื่อคุณเล่นเกมบ่อย ๆ เหมือนเป็นการสั่งให้สมองจำว่านี้คือความสุขเหมือนกับนิโคตินเลยละครับ

โรคติดมือถือ
โรคติดมือถือ

มีผลงานวิจัยว่า กว่า 93 % ของกลุ่มคนอายุ 18 – 29 ปีมักใช้สมาร์ทโฟนเป็นเครื่องแก้ความเบื่อหน่าย มากกว่าการอ่านหนังสือ เล่นกีฬาหรือการพบปะเข้าสังคม ซึ่งนี้ก็เป็นสาเหตุของการเกิดอาการ Nomophobia (โนโมโฟเบีย) หรือความวิตกกังวลของผู้ใช้มือถือ โดยมันคือคำย่อมาจาก“No-mobile-phone phobia” หรือความหวาดกลัวในการไม่มีมือถือนั่นเองครับ คลื่นโทรศัพท์ก็มีความเสี่ยงต่อระบบการทำงานของสมอง โดยสมองทั้งสองข้างของเรามีการทำงานที่ต่างกันออกไป

ไม่ว่าจะเกี่ยวการคิดวิเคราะห์ จินตนาการและการคำนวณ เมื่อเราใช้มือถือบ่อย ๆ คลื่นของมือถือการอาจรบกวนและทำให้สมองของเราทำงานผิดปกติได้ คลื่นวิทยุจากโทรศัพท์มือถือจัดเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่ได้มีพลังงานสูงพอจะทำลายดีเอ็นเอในเซลล์ได้โดยตรง จนทำให้เกิดมะเร็งได้ และไม่ได้มีความแรงมากพอจนก่อให้เกิดความร้อนถึงขั้นส่งผลต่ออุณหภูมิภายในร่างกายเช่นกันครับ

เมื่อคุณเล่นมือถือในที่ที่มีแสงน้อย หน้าจอมือถือก็ปรับโหมดเพิ่มแสงโดยอัตโนมัต ซึ่งการรับแสงมือถือหรือแสงสีฟ้าโดยตรงนั้นส่งผลให้เรานอนหลับยาก โดยธรรมชาติแสงสีฟ้ามีผลต่อ Circadian Rhythm หรือนาฬิกาชีวิตที่ทำให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ ช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนออกมา ทำให้กระฉับกระเฉง รู้เวลานอน ซึ่งสีฟ้าจะเข้ามารบกวนทำให้นอนไม่หลับ ตื่นลำบาก จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแนะนำว่า ควรงดเล่นมือถือก่อนนอน 1 – 2 ชั่วโมงและอ่านหนังสือแทน เพราะจะช่วยให้หลับง่ายครับ

และข้อสุดท้ายที่น่าสนใจในปี 2014 มีการศึกษาค้นพบว่าคนส่วนใหญ่ชาวอเมริกัน มีการเข้าถึงข่าวสารรอบตัวน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่ใช้สมาร์ทโฟนเพื่อ อินเทอร์เน็ตแบงค์กิ้ง การเกี่ยวการรักษาทางการแพทย์และหางาน ซึ่งจริง ๆ แล้วการใช้มือถือก็ไม่ได้แย่เสมอไป เพราะหากเราควบคุมพฤติกรรมการใช้านและใช้ให้ถูกวิธีก็ไม่อาจเป็นผลเสียต่อเราได้ครับ